My Melody Crying

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าอาจจะเกิดในคนที่มีการสูญเสีย หรือโรคซึมเศร้าอาจจะเกิดในคนที่มีโรคประจำตัวหรือเกิดในคนปกติทัวๆไป มีการประเมินว่าในระยะเวลา 1 ปีจะมีประชาชนร้อยละ9จะเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจประเมินมากมาย แต่สูญเสียคุณภาพชีวิตรวมทั้งความทุกข์ที่เกิดกับผู้ป่วยจะประเมินมิได้ โรคซึมเศร้าจะทำให้การดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงและเกิดความเจ็บปวดทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล บางครั้งอาจจะทำให้ครอบครัวแตกแยก
ซึมเศร้า
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า และไม่ได้รับการรักษาทั้งที่ปัจจุบันมียาและวิธีการรักษาที่ได้ผลดี ความนี้จะเป็นแนวทางในการวินิจฉัย หากพบว่าคนที่รู้จักมีอาการเหมือนกับโรคซึมเศร้ารีบแนะนำให้เขาไปพบจิตแพทย์
โรคซึมเศร้าคืออะไร
โรคซึมเศร้าเป็นการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจและความคิด ซึ่งผลของโรคกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่นการรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่รักษาอาการอาจจะอยู่เป็นเดือน
โรคซึมเศร้ามีกี่ชนิด
  1. Major depression ผู้ป่วยจะมีอาการ(ดังอาการข้างล่าง)ซึ่งจะรบกวนการทำงาน การรับประทานอาหาร การนอน การเรียน การทำงาน และอารมสุนทรีย์ อาการดังกล่าวจะเกิดเป็นครั้งๆแล้วหายไปแต่สามารถเกิดได้บ่อยๆ
  2. dysthymia เป็นภาวะที่รุนแรงและเป็นเรื้อรังซึ่งจะทำให้คนสูญเสียความสามารถในการทำงานและความรู้สึกที่ดี
  3. bipolar disorder หรือที่เรียกว่า manic-depressive illness ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาซึมเศร้าจะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นช่วงอารมณ์ mania ผู้ป่วยจะพูดมาก  กระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานเหลือเฟือ ในช่วง mania จะมีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจและพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากไม่รักษาภาวะนี้อาจจะกลายเป็นโรคจิต
อาการของโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกอย่างบางคนก็มีบางอย่างเท่านั้น
อาการซึมเศร้า depression
  1. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้แก่
  • รู้สึกซึมเศร้า กังวล อยู่ตลอดเวลา
  • หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย
  • อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย
  1. การเปลี่ยนแปลงทางความคิด
  • รู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
  • รู้สึกผิด รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่มีทางเยียวยา
  • มีความคิดจะทำร้ายตัวเอง คิดถึงความตาย พยายามทำร้ายตัวเอง
  1. การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้หรือการทำงาน
  • ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความสนุก งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่เพิ่มความสนุกรวมทั้งกิจกรรมทางเพศ
  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีพลังงาน การทำงานช้าลง การงานแย่ลง
  • ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม การตัดสินใจแย่ลง
  1. การเปลี่ยนปลงทางพฤติกรรม
  • นอนไม่หลับ ตื่นเร็ว หรือบางรายหลับมากเกินไป
  • บางคนเบื่ออาหารทำให้น้ำหนักลด บางคนรับประทานอาหารมากทำให้น้ำหนักเพิ่ม
  • มีอาการทางกายรักษาด้วยยาธรรมดาไม่หายเช่น อาการปวดศีรษะ แน่นท้อง ปวดเรื้อรัง
  • ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นแย่ลง
อาการ Mania
  • มีอาการร่าเริงเกินเหตุ
  • หงุดหงิดง่าย
  • นอนน้อยลง
  • หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่
  • พูดมาก
  • มีความคิดชอบแข่งขัน
  • ความต้องการทางเพศเพิ่ม
  • มีพลังงานมาก
  • ตัดสินใจไม่ดี
  • มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การคาดหวังกับความรัก


ไม่มีรักใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ..
ดังนั้น ..
เมื่อเรารักใคร . เราก็จะคาดหวังให้เขารักเราตอบในปริมาณที่เท่าๆกัน
โดยลืมไปว่า ..
ไม่มีเครื่องมือ หรือมิเตอร์ไหนที่จะมาวัดปริมาณความรักได้
ดังนั้น .. จะบอกว่ารักเราไม่เท่ากันก็คงไม่ได้

คนแต่ละคนก็เติบโตมาสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน
อุปนิสัย การดำเนินชีวิต ความอดทน ความกดดัน ต่างกัน
คำว่ารักของคนๆนึง
อาจไม่เท่ากับ .. คำว่ารักของอีกคนนึง

หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ
คำจำกัดความของคำว่ารักของคนเราล้วนต่างกัน

คนบางคน .. การได้เจอกันทุกวัน ได้คุยกันทุกวัน นั่นคือรัก
แต่คนบางคน การได้จับมือ เดินไปไหนมาไหนด้วยกันทุกๆที่ นั่นคือรัก
ในขณะที่คนบางคน .. มีแค่ความคิดถึง และความเชื่อใจกัน โดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา นั่นคือรัก

เมื่อเราคาดหวัง .. แล้วมันไม่เป็นดังหวัง
ก็จะคิดไปเองว่า .. เขาไม่รัก
..
ซึ่งแท้จริงแล้ว .. อาจไม่ใช่
เขาอาจจะรัก แต่แสดงออกในแบบของเขาก็ได้

แต่ไม่ว่าจะรักแบบไหน
ล้วนเกิดจากพื้นฐานของความเข้าใจ เชื่อใจ และห่วงใย
ไม่อย่างนั้นคงเรียกว่ารักไม่ได้

เมื่อไหร่ที่ความเข้าใจกันหายไป
ก็จะพาลให้ความเชื่อใจ และห่วงใยหายไปด้วย
สิ่งหนึ่งที่ทำได้ .. คือการหันหน้าคุยกัน  ด้วยคำพูดดีๆ ปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง

สิ่งสำคัญก็คือ
อย่าพูดว่ารัก แต่ใจไม่รัก  เพราะการกระทำสุดท้ายแล้วก็จะบ่งบอกว่าเราไม่รัก 
และอย่าคิดว่าแค่การแสดงออกก็เพียงพอในการรักใครซักคน  ไม่ต้องพูดอะไรก็จะเข้าใจ

เพราะจิตใจคนเรานั้นอ่อนแอ ...
คำพูด จะทำให้รู้สึกเชื่อมั่น ..
การกระทำ .. จิะทำให้รู้สึกเชื่อใจ

หากเมื่อไหร่ที่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง
หากการคุยกันดีๆแล้วไม่เป็นผล
มองหน้าเขาให้ดีๆ
แล้วถามใจตัวเองว่า..
คนๆนี้คือคนที่เรารักจริงๆมั้ย
ถ้าหากว่าคำตอบคือใช่ .. คำถามต่อไปก็คือ
เราทำใจ  เข้าใจเขา และลดความคาดหวังลงได้มั้ย

แล้วคำตอบจะปรากฎขึ้นในใจของเราเอง
ที่เหลือก็คือ .. เราจะยอมรับมันได้หรือเปล่าก็เท่านั้น

..
.

ไม่ใช่เรื่องง่าย ในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครซักคน
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารักใครซักคนนั้น
การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
เพราะว่ารัก .. จึงอยากให้เขามีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ๆเรา  จึงอยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรๆให้มันดีขึ้น ...

แต่ว่า..
ความรัก .. กับความชอบนั้นต่างกัน
เมื่อฝ่ายหนึ่งรัก . แต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบ
ความคาดหวังที่ไม่ตรงกันก็จะตามมา .. และความวุ่นวายต่างๆก็จะตามมา

ดังนั้น ..ก่อนที่จะพูดคำว่ารัก
ถามใจตัวเองให้ดี ว่ารักจริงๆ .. หรือแค่ชอบ..
ก่อนที่จะมีใครบางคนต้องเจ็บปวด .. ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆของคุณเอง

นอกจากนี้..
คนเรา .. ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมข้อดี และข้อเสีย
เมื่อเรารักใคร .. หากว่ามองเห็นแต่ด้านที่ดีของเขาละก็
ให้บอกกับตัวเองได้เลยว่า

เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ .....หรือไม่ก็ ..
เรากำลังตาบอดเพราะความรัก

จงจำไว้เลยว่า ..
การที่คนเราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างยืดยาวนั้น
ต้องชื่นชมในข้อดี และเข้าใจในข้อเสียของกันและกัน

ในเส้นทางของชีวิต
ถ้าแค่เราคนเดียว .. จะเดิน จะวิ่ง เร็วเท่าไหร่ ช้าเท่าไหร่ จะล้มยังไง ก็คงไม่เป็นไร
เพราะมีแค่เราคนเดียวที่เจ็บ

แต่เมื่อวันใด .. ที่เราตัดสินใจจะเดินร่วมทางกับใครซักคน
ก็เหมือนกับการเดินสามขา
จะก้าวยังไง เดินเร็วเท่าไหร่ ก็ต้องก้าวไปด้วยกัน
เมื่อล้ม .. ก็จะไม่ใช่เราคนเดียวที่เจ็บ
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปรับเปลี่ยนบางสิ่งเข้าหากัน
เพื่อหาจังหวะในการเดินที่พอดีของทั้งสองฝ่าย .. ไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป
เพื่อจะได้เดินไปด้วยกันได้
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคแบบไหนก็ตาม ...

บางครั้ง .. การเดินไปคนเดียว .. อาจมีความสุขกับอิสระของชีวิตที่เราเลือกเองได้
จะเดินไปไหนก็ได้  จะวิ่งก็ได้  เหนื่อยนักจะพักก็ได้
แต่คงจะดีกว่าไม่น้อย
ถ้ามีใครซักคนร่วมเดินคุยไปด้วยกันตามทางเดินชีวิตที่ยังไม่รู้จุดจบนี้
ร่วมหัวเราะไปด้วยกัน ช่วยเช็ดน้ำตาของกันและกัน
เสียงหัวเราะที่มีก็จะดังมากขึ้น...
น้ำตาที่ไหลมาก็จะเหือดแห้งเร็วขึ้น...

แล้วเราก็จะพบว่า
ชีวิตเรามีค่ามากขึ้น ..
เพราะตัวเราเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้อีกต่อไป ..

เรื่องที่ขอ

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ทฤษฎีความรัก Theories of Love

ปัญหาความรักมีหลากหลายรูปแบบมากมาย ให้หลายคนครุ่นคิด จนอาจทำให้คู่รักบางคู่รู้สึกเหนื่อยและท้อได้ งั้นเราลองมาย้อนกลับไปหาทฤษฎีความรักเริ่มต้นดูกัน อาจจะทำให้เราปรับเปลี่ยนทัศนะคติจากความรักยากๆ เป็นง่ายขึ้นก็ได้นะ…ทฤษฎีความรัก Theories of Love

ในกลุ่มนักวิชาการที่ทำการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้ที่โดดเด่นเห็นจะไม่มีใครเกิน Dr. Robert Sternberg นักจิตวิทยาชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยทัฟส์ (Tufts University) เพราะแนวคิดของเขาได้รับการพูดถึงอยู่เสมอในแวดวงนักวิชาการ บวกกับเป็นแนวคิดที่เข้าใจง่าย ซึ่งเขาได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับความรักไว้ในปี ค.ศ. 1986 ดังนี้
ความรัก มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ
1. ความเสน่หา (Passion) หมายถึง ความหลงใหลในเสน่ห์ทางเพศ (sex appeal) มีความรู้สึกพึงพอใจในเรือนร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว และลักษณะทางเพศอื่นๆ รวมไปถึงจริตกิริยามารยาท น้ำเสียง รู้สึกเย้ายวนรัญจวนใจ กระทั่งตกหลุมรักในที่สุด เกิดแรงขับที่จะทำความรู้จักและสร้างสัมพันธภาพกันต่อไป เป็นแรงปรารถนาอันเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศทั้งหญิงและชาย เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายต่อเนื่องไปถึงช่วงอายุระหว่าง 20-35 ปี ความสัมพันธ์ที่มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องด้วยดีทำให้เกิดความสนิทสนมไว้วางใจกัน และกระตุ้นให้มีแรงปรารถนาทางเพศต่อกัน ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ และการยอมรับ ที่สำคัญคือ ความจริงใจต่อกัน

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

ประวัติ


ประวัติส่วนตัว



ชื่อ นายอนุชา   ทองซ้าย  

ชื่อเล่นชื่อ พุ้ย

เกิดวันที่ 27 มกราคม 2543

อายุ 16 ปีอีกไม่นานก็ 17 ละ

ชอบสี ฟ้า  ดำ

อาหารที่ชอบ พวกอาหารทะเล🐙

สถานะ โสดนะแต่มีคนโปรดในใจ💗

สัตว์ที่ชอบ ชอบไดโนเสาอะแต่ตอนนี้ยังหาไม่เจอเลยชอบหมาไปก่อน

สิ่งที่กลัว ผี,จระเข้,งู,ตุ๊กแก

อนาคตอยากเป็นคนดีนะ

นิสัยไม่ต้องถามดียุแล้ว

ชอบเล่นกีฬากีฬาที่เล่นได้ก็มี บาสเกตบอล,ฟุตบอล,วอลเล่ย์บอล,เปตอง,แบตมินตัน

Facebook : Pui Anucha